วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

ที่อยู่อาศัยมีความสำคัญกับประชากรเมืองปี2050

              ประชากรของโลกโดยรวม จะเพิ่มขึ้นจาก 6.83 พันล้านคนในปี 2009 เป็น 8.01 พันล้านคนในปี 2025 และเพิ่มเป็น 9.15 พันล้านคนในปี 2050 โดยขยายตัว เฉลี่ย 1.00% ต่อปี ในช่วงปี 2009 - 2025 และขยายตัวเฉลี่ย 0.53% ต่อปี ในช่วงปี 2025 - 2050 การเติบโตของสังคมเมือง (Accelerating Urbanisation) 


            ปัจจุบันเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลกอาศัย อยู่ในเมือง แต่หากย้อนหลังไปในปี 1950 จะพบว่า มีเพียงร้อยละ 30 ของประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในเมือง เนื่องด้วยพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ส่งผลให้วิถีชีวิตของประชากรในเมืองมีความสะดวกสบายมากขึ้น อาทิ ระบบคมนาคมขนส่ง ระบบสาธารณูปโภค อาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัยประชากรที่เคยอาศัยอยู่ ในชนบทก็เริ่มย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองมากขึ้น เพื่อแสวงหารายได้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ขณะเดียวกันนโยบายของหลายประเทศที่มุ่งกระจาย รายได้และการพัฒนาไปสู่ชนบทมากขึ้น ช่วยยกระดับและพัฒนาสังคมชนบทไปสู่การเป็น สังคมเมือง ทำให้คาดว่าในปี 2050 สัดส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจะสูงถึงร้อยละ 72 โดยเฉพาะในภูมิภาคแอฟริกาตอนเหนือ (Sub-Saharan Africa) และเอเชีย ที่สังคมเมืองเริ่มมีแนวโน้ม พัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ในขณะที่พื้นที่ของประเทศยังคงเท่าเดิม ทำให้สัดส่วนจำนวน ประชากรต่อหน่วยพื้นที่ เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหา การขาดแคลนพื้นที่อยู่อาศัย ดังนั้นหลายประเทศจึงพยายามคิดหาวิธีการจัดการพื้นที่ในการอยู่อาศัยของประชากร ยกตัวอย่างหลายประเทศมีการถมทะเทเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการอยู่อาศัย เช่น ดูไบ ถมทะเลสร้างเมือง "เดอะเวิลด์ดูไบ"  ประเทศญี่ปุ่นถมทะเลทำเกาะเทียม 

DU02 ทัวร์เอเชีย  DUBAI  5D  3N  BY  TG



ข้อมูลจาก : 5 เทรนด์เปลี่ยนโลกในทศวรรษหน้า และธุรกิจที่คาดว่าจะได้อานิสงค์ จาก Mega Trends
ขอบคุณ ภาพจาก : http://www.kriengsak.com/Urban%20World
                        : http://www.tourtooktee.com/

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

การตั้งถิ่นฐาน Settlement

อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม

      การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในอดีตนั้น จะเลือกพื้นที่ที่มีสิ่งแวดล้อมเหมาะแก่การดำรงชีพ ที่ใดมีผลิตผลตามธรรมชาติอย่างเพียงพอ มีสภาพอากาศดี มีอุณหภูมิ และความชื้นที่เหมาะสมมีนน้ำกินน้ำใช้สมบูรณ์มนุษย์จะตั้ง ถิ่นฐานอยู่อาศัยกันหนาแน่น และเมื่อมีจจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆจะมีผลกระทบต่อสิ่แวดล้อมตามธรรมชาติ เพราะถ้ามนุษย์รู้จักแต่จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่สนใจในการบำรุงดูแลรักษา ก็จะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติมีแต่ความ เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ 

     
Hagget  and  Chorley  (1967)  ฮักแก็ต  และ คลอรีย์  นักภูมิศาสตร์กล่าวว่า  การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสภาพแวดล้อม แหล่งการตั้งถิ่นฐานคือรูปแบบที่มองเห็นได้ชัดเจนจากลักษณะภูมิประเทศ  เป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพื้นที่ในอดีต ในด้านของการเชื่อมโยงระหว่างสภาพแวดล้อมทางด้านกายภาพ และทรรศนะการครอบครองพื้นที่

      Braek  and  Webb (1968) เบรก  และ แวบบ์  ซึ่งเป็นนักภูมิศาสตร์  ได้ให้คำจำกัดความของการตั้งถิ่นฐานว่า หมายถึง  เครื่องมือ  อุปกรณ์ และความสะดวกสบายต่างๆ ที่มนุษย์คิดขึ้นมา  เมื่อตั้งตัวอยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว  การตั้งถิ่นฐานจึงประกอบไปด้วยตัวมนุษย์  อาคาร บ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ ถนนหนทาง ตลอดจน แนวรั้วที่แบ่งแยกเขตอาคารออกจากกัน และรวมไปถึงบทบาทหน้าที่และรูปร่างของแหล่งตั้งถิ่นฐาน เหล่านี้เป็นผลรวมของวัฒนธรรมของแต่ละสังคมซึ่งจะแตกต่างกันออกไป
     องค์การสหประชาชาติ (UN , 1974) ให้คำจำกัดความว่า  การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์หมายถึงองค์กร(Organism) ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นจำนวนมาก หน้าที่อันซับซ้อนภายใต้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ  ทั้งองค์ประกอบที่มนุษย์สร้างขึ้น  และองค์ประกอบทางธรรมชาติ รวมกันเป็นถิ่นที่อาศัยซึ่งมนุษย์ต้องใช้เป็นแหล่งดำเนินชีวิต เลี้ยวดูครอบครัว ประกอบอาชีพ ตลอดจนแสวงหาการกินดี อยู่ดี ทางด้านกายภาพ จิตใจ  และสติปัญญา
      Doxiadis  (1976)  ดอกซิแอดิส   นักผังเมือง ให้คำจำกัดความว่า การตั้งถิ่นฐานหมายถึงการจัดรูปแบบพื้นที่ โดยมนุษย์เพื่อมนุษย์  เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ และยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นตามลำดับ การตั้งถิ่นฐานมนุษย์ต้องอาศัยมิติของเวลา และสถานที่ เริ่มจากจักรภพ ลงมาถึงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ  บรรยากาศ  ตัวมนุษย์  และการตั้งถิ่นฐาน มีขนาดตั้งแต่ที่อาศัยชั่วคราว ไปจนถึงกึ่งถาวรและถาวร ดังนั้นการศึกษาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ต้องพิจารณาจากเกณฑ์ 5 ประการ คือ มนุษย์ สังคม สภาพแวดล้อม ที่อาศัย  และโครงสร้างพื้นฐานที่ละเอียดอ่อนแต่ละอย่าง  และในที่สุดต้องผสมผสานเป็นหนึ่งเดียว
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าความหมายของการตั้งถิ่นฐาน มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ซับซ้อน ครอบคลุมมากขึ้น อันเนื่องมาจากการพัฒนาการของการศึกษา และพัฒนาการของการตั้งถิ่นฐานที่เป็นพลวัตร (Dynamic) คือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และซับซ้อนขึ้นนั่นเอง


ขอบคุณข้อมูล : http://web.nso.go.th/en/survey/env/data_env/560920_env12_HumanSettlements.pdf
                      http://coursewares.mju.ac.th:81/e-learning50/la471/course_chapt_01-1.html